วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คนเด่นเมืองตรัง นางจิระนันท์ พิตรปรีชา นักเขียนเมืองตรัง



.

จิระนันท์ พิตรปรีชา :  หนังสือซีไรต์ประจำปี 2532 ชื่อหนังสือ ใบไม้ที่หายไป ประเภท กวีนิพนธ์ 






ชื่อจริง  นางจิระนันท์  พิตรปรีชา
นามปากกา  บินหลา  นาตรัง (แต่ส่วนใหญ่ใช้นามจริงในงานเขียน)
วันเกิด  25 กุมภาพันธ์ 2498
จังหวัดบ้านเกิด  ตรัง
การศึกษาสูงสุด  ปริญญาโท  Cornell University, USA
ผลงานเขียน  บทกวี  สารคดี  ความเรียง 
ผลงานรวมเล่ม (เฉพาะงานเขียน ไม่รวมงานแปล)
รวมบทกวี : ใบไม้ที่หายไป (รางวัลซีไรต์ปี 2532)
สารคดี : ลูกผู้ชายชื่อนายหลุยส์
ความเรียง :  โลกที่สี่  “หม้อแกงลิง  ชะโงกดูเงา   อีกหนึ่งฟางฝัน...บทบันทึกแรมทาง


จิระนันท์  พิตรปรีชา  เกิดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2498  ที่อำเภอเมือง  จังหวัดตรัง  เป็นบุตรสาวคนเดียวในจำนวนพี่น้อง คน  บิดาชื่อนิรันดร์  มารดาชื่อจิระ ทั้งคู่มีกิจการร้าน “สิริบรรณ” ซึ่งขายเครื่องเขียน แบบเรียน และหนังสือ  จิระนันท์จึงโตมากับกองหนังสือ  และสนใจการอ่านการเขียนมาตั้งแต่ชั้นประถม ชอบแต่งกลอนและเขียนเรียงความได้ดี  ในปี พ.ศ.2511 เมื่อเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนประจำจังหวัด เธอได้รับรางวัลที่ 2 ในการประกวดแต่งกลอนวันปิยมหาราช   และได้อ่านกลอนหน้าศาลากลางจังหวัดตรัง   จากนั้นจึงเขียนส่งไปลงพิมพ์ที่ต่าง ๆ เช่น ใน  วิทยาสาร และ ชัยพฤกษ์   เคยออกหนังสือในโรงเรียนโดยเขียนเองเกือบทุกคอลัมน์และพิมพ์ดีดเองทั้งหมด   หลังจบจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้ศึกษาต่อในคณะวิทยาศาสตร์ แผนกเตรียมเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ในปี พ.ศ. 2515 ได้รับเลือกเป็นดาวจุฬาฯ  หลังจากทำงานกิจกรรมชมรมต่างๆ อยู่พักหนึ่ง ก็เกิดสงสัยในคุณค่าของระบบการศึกษาและสังคมมหาวิทยาลัย จึงผันแปรเข้าร่วมกิจกรรมการเมืองแบบกลุ่มอิสระที่เริ่มก่อตัวขึ้นในยุคนั้น  หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 บทบาทและชื่อเสียงของจิระนันท์เป็นที่รับรู้ทั่วไป งานเขียนในรูปของบทกวีบางชิ้นกลายเป็นหนึ่งในบรรดาวรรคทองของยุคประชาธิปไตย แต่สภาพการณ์ทางการเมืองมีส่วนผลักดันให้จิระนันท์ตัดสินใจ "เข้าป่าจับอาวุธ" พร้อมเสกสรรค์ ประเสริฐกุล เพื่อนนักศึกษาผู้เป็นสามี และผลิตงานฉันทลักษณ์ออกมาภายใต้นามปากกา "บินหลา นาตรัง"   หลังใช้ชีวิตหกปีในป่าโดยให้กำเนิดบุตรชาย คน เธอพบว่าการปฎิบัติงานในป่าเขาไม่ใช่คำตอบ จึงกลับคืนสู่เมืองพร้อมครอบครัว และไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย Cornell ประเทศสหรัฐอเมริกา และคงสถานะเป็นนักศึกษาปริญญาเอกด้านประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Cornell ที่ไม่ได้ศึกษาให้จบหลักสูตร    จิระนันท์ พิตรปรีชาได้รับการยกย่องในบทบาทนักต่อสู้ทางอุดมการณ์ในยุค 14 ตุลา และกวีหญิงคนสำคัญของไทย   บทกวีชุด  “เกิดในกองทัพ”  ซึ่งเป็นเอกสารโรเนียวทำมือได้รับการจัดพิมพ์ออกมาในชื่อ  “ใบไม้ที่หายไป” ซึ่งได้รับรางวัลซีไรต์ประจำปี 2532    แม้ในช่วงหลังจะไม่มีผลงานกวีนิพนธ์ เธอยังเขียนบทความสารคดี และแปลบทภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง  ปัจจุบันจิระนันท์ทำงานประจำในตำแหน่งที่ปรึกษาและหัวหน้ากลุ่มงานกิจกรรมและเครือข่าย ที่สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ

               
               
หนังสือซีไรต์ประจำปี 2532
ชื่อหนังสือ ใบไม้ที่หายไป ประเภท กวีนิพนธ์
   ผู้แต่ง จิระนันท์ พิตรปรีชา

“ใบไม้ที่หายไป” เป็นรวมบทกวีจำนวน 35 ชิ้นที่ทั้งหมดสะท้อนเรื่องราวของชีวิตช่วงหนึ่งของผู้ประพันธ์ตลอดจนความรู้สึกนึกคิดระหว่างปี พ.ศ. 2513 – 2529   โดยแบ่งออกเป็น ช่วงเวลา คือ   ระหว่าง พ.ศ. 2513 - 2515 เธอคือสาวน้อยวัยเยาว์ผู้มองโลกอันสวยงาม    ระหว่าง พ.ศ. 2516 - 2519 เธอคือผู้พลิกภาพลักษณ์ของดาวจุฟัาฯ ไปสู่ผู้มีอุดมการณ์มุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาสังคม  ระหว่าง พ.ศ. 2520 - 2522 เธอคือทหารป่าผู้เชื่อมั่นว่าตัดสินใจถูกต้องแล้วที่อุทิศตนเพื่อต่อสู้กับความอยุติธรรมต่างๆ    ระหว่างพ.ศ. 2522 –2523 เธอคือกรวดเม็ดร้าวที่เจ็บช้ำจากความพ่ายแพ้ และเธอได้มีบทบาทของการเป็นแม่  ในช่วงสุดท้าย ระหว่าง พ.ศ. 2523-2529 เธอคือนักศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา เป็นช่วงเวลาของการรักษาบาดแผลชีวิตด้วยการเรียนรู้อย่างสุขุม พร้อมกับทำความเข้าใจธรรมชาติและสัจธรรมของชีวิต  

รวมบทกวี “ใบไม้ที่หายไป”  มีคุณค่าในด้านปลุกจิตสำนึกของสังคม  โดยเฉพาะด้านที่เกี่ยวกับฐานะและบทบาทใหม่ของผู้หญิง    ในด้านวรรณศิลป์  ผู้ประพันธ์ได้ใช้ภาษา  ถ้อยคำ และกลวิธีการเขียนที่มีพลัง  สามารถถ่ายทอดอารมณ์และความคิดของตนเองสู่ผู้อ่านโดยผสานจินตนาการให้กลมกลืนกับประสบการณ์ในชีวิตอย่างลงตัว    “ใบไม้ที่หายไป” สะท้อนแนวคิดที่ดีต่อเยาวชนและนิสิตนักศึกษาโดยปลุกจิตสำนึกให้เป็นพลเมืองที่ดีของสังคม ช่วยกันพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืน  ผลักดันระบบประชาธิปไตยให้เป็นระบอบที่ดีและมีคุณภาพ ลดการทุจริต และมีจิตสำนึกรักสถาบันชาติ พร้อมทั้งรู้ถึงคุณค่าและความสำคัญของตัวเองที่จะเป็นพลังให้แก่ส่วนรวม



ที่มา:http://www.seawritethailand.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น