วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

ของไหว้วันตรุษจีนเพื่อเป็นสิริมงคล

    ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน
    ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


              ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน ไหว้เจ้าที่ ว่าแต่ ของไหว้ตรุษจีน 2557 เนื่องในวันตรุษจีน 2557 มีอะไรบ้าง เรามีคำตอบมาฝาก 

              "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" ประโยคคุ้นหูที่เรามักได้ยินในช่วง "เทศกาลตรุษจีน" วันสำคัญของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน ที่เป็นเสมือนวันขึ้นปีใหม่ของจีนนั่นเอง โดย ตรุษจีน 2557 นี้ ตรงกับวันที่ 31 มกราคม 2557 ซึ่งในวันที่ 30 มกราคม ก่อนวันตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ 1 วัน มีพิธีกรรมเซ่นไหว้บรรพบุรุษผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยอาหารคาวหวานนานับชนิด ว่าแต่ของไหว้ตรุษจีนมีอะไรบ้างล่ะ ใครกำลังอยากรู้ว่า จัดของไหว้ตรุษจีน ต้องใช้อะไรบ้าง กระปุกดอทคอม มีคำตอบมาบอกค่ะ

              สำหรับในวันตรุษจีนนั้น จะมีการเตรียมของไหว้อย่างพิถีพิถัน แบ่งเป็นเนื้อสัตว์ ผลไม้ ขนมหวาน กับข้าวคาว กับข้าวเจ อย่างละ 3 หรือ 5 ชนิด พร้อมสุรา น้ำชา ข้าวสวย และกระดาษเงินกระดาษทองประเภทต่าง ๆ โดยจะจัดเรียงตามลำดับความสำคัญตามชนิดของอาหาร ซึ่งจะมีเสียงเรียกพ้องกับเสียงของคำมงคล และผลไม้ที่ขาดไม่ได้บนโต๊ะไหว้ก็คือ ส้มมหามงคลสีทอง ที่ชาวจีนเรียกว่าส้มไต่กิก เพราะมีความหมายหมายถึงความสวัสดีมงคลอย่างยิ่ง 

              ทั้งนี้ "วันไหว้" จะทำกันในวันสิ้นปี ซึ่งปกติมีการไหว้ 3-4 ชุด เริ่มจาก "ไหว้เจ้าที่" ในช่วงเช้าด้วยชุดซาแซ คือ หมู เป็ด ไก่ ที่อาจเปลี่ยนเป็นไข่ย้อมสีแดงได้ ขนมเทียน และขนมถ้วยฟู หรือขนมอื่น ๆ ผลไม้ไหว้มีส้มสีทอง องุ่น แอปเปิ้ล พร้อมกับกระดาษเงิน กระดาษทอง ต่อด้วยช่วงสาย ๆ ไม่เกินเที่ยง "ไหว้บรรพบุรุษ" เครื่องไหว้จะประกอบด้วยชุดซาแซ อาหารคาวหวาน ส่วนมากก็ทำตามที่ผู้ล่วงลับไปแล้วชอบ เต็มที่จะมี 10 อย่าง นิยมว่าต้องมี น้ำแกง เพื่ออวยพรให้ชีวิตราบรื่น และกับข้าวเลือกที่มีความหมายมงคล ส่วนขนมไหว้บรรพบุรษต่าง ๆ ก็มีความหมายมงคลเช่นกัน 


              อย่างไรก็ตาม หลังจากไหว้บรรพบุรษแล้ว ช่วงเที่ยงหรือบ่ายก็จะไหว้ผีไม่มีญาติ จากนั้นก็เป็นช่วงกลางดึกของคืนวันสิ้นปีย่างเข้าตรุษจีน ที่จะมีการไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ย หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ โดยให้หันโต๊ะไหว้ไปทางทิศตะวันตก ทั้งนี้ ชาวจีนจะเตรียมจัดของไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภอย่างพิถีพิถัน เพราะในช่วงเวลาที่กำลังจะเข้าวันตรุษจีน โลกกำลังหมุนไปทางทิศนี้ แล้วเมื่อย่างเข้าวันปีใหม่จีนหรือวันตรุษจีน ก็ยังนิยมไปไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่ โดยจะนำส้มสีทองจำนวน 4 ใบ ไปมอบให้ด้วยเสมือนนำโชคดีไปให้ เพราะเสียงไปพ้องกับคำว่าทองในภาษาจีนแต้จิ๋ว

    ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน
    ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน


              ทั้งนี้ สำหรับความหมายของ "ของไหว้วันตรุษจีน" ได้แก่...

      ความหมายของผลไม้ไหว้วันตรุษจีน           - กล้วย หมายถึง กวักโชคลาภเข้ามา และขอให้มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง
              - แอปเปิล หมายถึง ความสันติสุข สันติภาพ
              - สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง (ควรระวังไม่นิยมไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติ)
              - ส้มสีทอง หมายถึง ความสวัสดีมหามงคล
              - องุ่น หมายถึง ความเพิ่มพูน 

              - สับปะรด คำจีนเรียกว่า "อั้งไล้" แปลว่า มีโชคมาหา

      ความหมายของอาหารไหว้วันตรุษจีน           - ไก่ หมายถึง ความสง่างาม ยศ และความขยันขันแข็ง ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต้องเป็นไก่เต็มตัว หมายถึง มีหัว ตัว ขา ปีก มีความหมายถึง ความสมบูรณ์
              - เป็ด หมายถึง สิ่งบริสุทธิ์ ความสะอาด ความสามารถอันหลากหลาย 
              - ปลา หมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์

              - หมู หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้

              - ปลาหมึก หมายถึง เหลือกิน เหลือใช้ (เหมือนปลา)

              - บะหมี่ยาวหรือหมี่ซั่ว หรือ ฉางโซ่วเมี่ยน ตามชื่อหมายถึง อายุยืนยาว

              - เม็ดบัว หมายถึง การมีบุตรชายจำนวนมาก

              - ถั่วตัด หมายถึง แท่งเงิน

              - สาหร่ายทะเลสีดำ หมายถึง ความมั่งคั่งร่ำรวย

              - หน่อไม้ หมายถึง การอวยพรให้ร่ำรวยผาสุก 

              
    สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง คือ เต้าหู้ขาว เนื่องจากสีขาว คือ สีสำหรับงานโศกเศร้า


    ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน

      ความหมายของขนมไหว้วันตรุษจีน 

              - ขนมเข่ง คือ ความหวานชื่น ราบรื่นในชีวิต ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม หมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์ 
              - ขนมเทียน คือ เป็นขนมที่ปรับปรุงขึ้นจากชาวจีนโพ้นแผ่นดินดัดแปลงมาจากขนมท้องถิ่นของไทย จากขนมใส่ไส้เปลี่ยนจากแป้งข้าวเจ้าผสมกะทิมาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน มีความหมายหวานชื่น ราบรื่น รูปลักษณ์เป็นกรวยแหลมมีลักษณะเป็นมงคลเหมือนเจดีย์
              - ขนมไข่ คือ ความเจริญเติบโต 
              - ขนมถ้วยฟู คือ ความเพิ่มพูนรุ่งเรือง เฟื่องฟู
              - ขนมสาลี่ คือ รุ่งเรือง เฟื่องฟู 
              - ซาลาเปา หรือ หมั่นโถว คือ ไหว้เพื่อให้เปาไช้ แปลว่าห่อโชค โดย หมั่นโถว มีแบบที่ทำจากหัวมัน เนื้อออกสีเหลือง และแบบไม่ผสมมัน เนื้อออกสีขาว นิยมทำให้แตกเหมือนดอกไม้บาน ถ้าลูกเล็กจะแต้มจุดแดง ลูกใหญ่จะปั๊มตัวหนังสือสีแดง เขียนว่า ฮก แปลว่า โชคดี ส่วนถ้ามีไส้ เรียก "ซาลาเปา" นิยมไส้เต้าซา แป้งไม่ผสมมัน หน้าไม่แตก มีตัวหนังสือปั๊มว่า เฮง แปลว่าโชคดี
               นอกจากนี้ยังมี ซิ่วท้อ เป็นซาลาเปาพิเศษ ทำเป็นรูปลูกท้อ ไส้เต้าซา เพราะถือว่าเป็นผลไม้สวรรค์ ใช้ในงานวันเกิด ใครได้กินอายุจะยืนยาว
              - จันอับ (จั๋งอั๊บ) หมายถึง ปิ่นโต หมายถึงความหวานที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป ใช้ไหว้เจ้าได้ทุกประเภท ประกอบด้วยขนม 5 อย่าง คือ เต้ายิ้งปัง คือ ขนมถั่วตัด, มั่วปัง คือ ขนมงาตัด, ซกซา คือ ถั่วเคลือบน้ำตาล, กวยแฉะ คือ ฟักเชื่อม และโหงวจ๊งปัง คือ ขนมข้าวพอง

     กระดาษเงินกระดาษทอง

              นอกจากอาหารคาวหวานแล้ว ในการไหว้ตรุษจีนนั้น จะต้องมีการเตรียมกระดาษเงินกระดาษทอง สำหรับใช้ไหว้ด้วย เพราะคนจีนเชื่อกันว่า เมื่อตายไปแล้วจะไปยังอีกภพโลกหนึ่ง เรียกว่า "อิมกัง" ลูกหลานจึงต้องส่งเงินทองด้วยการเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้บรรพบุรุษได้ใช้ เพื่อแสดงความกตัญญู ซึ่งกระดาษเงินกระดาษทองก็ทั้งแบบที่ใช้ไหว้เจ้า และแบบที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษ คือ

              - กอจี๊ หรือ จี๊จุ้ย เป็นกระดาษเงินกระดาษทองชิ้นใหญ่ มีกระดาษแดงตัดเป็นลายตัวหนังสือว่า "เผ่งอัน" เป็นคำอวยพร แปลว่า โชคดี ใช้สำหรับไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน

              - กิมจั้ว หรือ งึ้งจั๊ว หมายถึงกระดาษเงินกระดาษทอง เวลาจะไหว้จะทำเป็นชุด ก่อนไหว้ลูกหลานต้องนำมาพับเป็นรูปดอกไม้ ใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง

              - กิมเต้า หรือ งึ้งเต้า หรือถังเงินถังทอง ใช้ไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน

              -  กิมเตี๊ยว คือ แท่งทอง ใช้ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้คนตาย

              -  ค้อซี คือ กระดาษทอง ก่อนใช้ให้พับเป็นรูปร่างก่อน เช่น พับเป็นเรือ เรียกว่า "เคี้ยวเท่าซี" เชื่อกันว่าการพับเรือ จะได้มูลค่าสูงกว่าการพับอย่างอื่น ใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง รวมทั้งไหว้คนตาย โดยเฉพาะพิธีทำกงเต๊ก ลูกหลานต้องพับค้อซี ให้มากที่สุด

              - อิมกังจัวยี่ คือ แบงก์กงเต๊ก

              -  อ่วงแซจิ่ว ใช้เผาเป็นใบเบิกทางไปสวรรค์สำหรับผู้ตาย

              -  เพ้า คือ ชุดของเทพเจ้า คล้ายกับที่คนไทยถวายผ้าห่มพระพุทธรูป มีการทำของเจ้าหลายองค์ เช่น ชุดของเจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่ทับทิม พระพุทธ

              - ตั้วกิม เป็นกระดาษเงินกระดาษทองที่ญาติสนิทนำไปไหว้ผู้ตาย การเผากระดาษเงินกระดาษทองจะต้องทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้ทุกคนได้เส้นไหว้เสร็จ ก็จะทำการ "เหี่ยม" หรือจบเหนือศีรษะ ระหว่างนี้ให้ทำการอธิษฐานขอพรไปด้วย แล้วจึงนำไปเผา เมื่อไฟมอดแล้วจึงไหว้ลา เป็นการเสร็จพิธี 


    ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน
    ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน

              รู้แล้วว่า "ของไหว้ตรุษจีน" มีอะไรบ้าง ทีนี้เราก็ควรจะมารู้จักวิธีการคัดเลือกอาหารเหล่านี้กันด้วย เพราะหลังจากไหว้ตรุษจีนเสร็จสิ้น ของไหว้เหล่านี้ก็จะถูกนำมาปรุงเป็นอาหารให้คนในครอบครัวทานกัน 

              โดย
    นายสง่า ดามาพงศ์ ผู้จัดการโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้กล่าวกับเราว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน หลายบ้านจะมีการไหว้บรรพบุรุษ ด้วยอาหารคาวหวาน ผัก-ผลไม้มากมาย แต่พึงระวังไว้สักนิดว่าอาหารที่นำมาปรุงนั้น ถูกหลักโภชนาการและปลอดภัยหรือไม่ เพราะอาหารเหล่านั้นอาจมีทั้งยาฆ่าแมลง และสารเคมีอื่น ๆ ที่ปนเปื้อน ถ้าเข้าสู่ร่างกายเราคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเป็นแน่

              "ในการไหว้บรรพบุรุษนั้น ส่วนใหญ่ก็จะใช้ผักไม่กี่ชนิด ซึ่งเราก็มีวิธีการในเลือกผักให้ปลอดภัย โดยดูที่ใบ ต้องไม่มีคราบดินหรือคราบขาวของสารพิษกำจัดศัตรูพืช หรือเชื้อราตามใบ และผักก็ควรมีรูพรุนเป็นรอยกัดแทะของหนอนแมลงอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะผักลักษณะเช่นนี้จะมีคุณค่าทางโภชนาการเหลืออยู่มาก และถ้าเป็นไปได้ควรเลือกซื้อผักที่ปลอดสารพิษ หรือพวกผักเกษตรอินทรีย์น่าจะดีที่สุด" อ.สง่ากล่าว

              ส่วนในขั้นตอนก่อนการปรุงนั้น เราควรล้างผักด้วยน้ำสะอาด 2- 3 ครั้ง และควรแยกผักใบและผักหัวออกจากกันเวลาล้าง โดยผักหัวควรล้างด้วยน้ำเกลือประมาณ 5-7 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง เพื่อล้างยาฆ่าแมลงที่สะสมอยู่ด้านในออกบางส่วน เพราะความร้อนไม่สามารถล้างยาฆ่าแมลงออกได้ เมื่อเรารับประทานเข้าไป จะเกิดการสะสมและอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และอาหารเป็นพิษตามมาได้

              "ผักประเภทหัวก็เช่นกัน อย่างกะหล่ำปลีก็ควรเอาเปลือกข้างนอกออก และพยายามล้างให้ถึงแกนด้านใน เพราะยาฆ่าแมลงจะตกค้างอยู่ภายใน รวมถึงแตงกวา ถั่ว ก็ควรแช่น้ำเกลือ หรือไม่ก็ใช้ด่างทับทิมล้างก่อน แล้วจึงล้างด้วยน้ำสะอาดอีกรอบ ที่สำคัญผักทุกชนิดเราควรล้างก่อนที่จะนำมาหั่น เพื่อไม่ใช้น้ำชะล้างคุณค่าทางโภชนาการออกหมด"

              ในส่วนของวิธีการปรุงนั้น ผักทุกชนิดเราไม่ควรต้มจนเละ เพราะนั่นจะทำให้ผักที่เรารับประทานเข้าไปมีคุณค่าทางโภชนาการน้อย รับประทานสด ๆ น่าจะดีที่สุด

              ผลไม้ก็เช่นกัน ควรเลือกร้านที่เราไว้ใจได้ ผลมันต้องสด ๆ และเลือกผลที่ไม่ช้ำ บางรายคัดแต่ลูกใหญ่ ๆ เพราะคิดว่าจะได้คุณค่าทางโชนาการมากกว่าลูกเล็ก ๆ ซึ่งความเป็นจริงแล้วก็ได้คุณค่าในปริมาณที่เท่ากันทั้งหมด

              "ผลไม้ที่ประชาชนใช้ไหว้บรรพบุรุษนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นส้ม แก้วมังกร แอปเปิ้ล หรือส้มโอ ซึ่งก็ควรเลือกแบบสด ๆ ผลไม่มีรอยช้ำ และควรล้างก่อนรับประทาน เพราะยาฆ่าแมลงมักจะสะสมอยู่บริเวณผิวเปลือก เมื่อเราใช้มือแกะส้ม ยาฆ่าแมลงนั่นก็จะมาติดที่มือเรา และเราก็หยิบเข้าปากรับประทาน ซึ่งนั่นอันตรายมาก" อ.สง่า กล่าว

              ทีนี้มาถึงคราวของคาวอย่างการเลือกเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อไก่ เราควรเลือกที่เนื้อไม่ซีด ไม่เหี่ยว เปลือกตาสด เนื้อต้องไม่มีรอยเลือดที่แห้งกรัง กลิ่นต้องไม่เหม็นเน่า เนื้อหมู ก็ต้องสีแดงสด แต่พึงระวัง เพราะปัจจุบันพ่อค้าแม่ค้ามักใช้ไฟสีแดงในการหลอกผู้บริโภคว่า หมูนั้นเนื้อแดง อีกทั้งเราควรเลือกร้านที่เราไว้ใจได้และซื้อประจำ เพราะจากการออกสำรวจของกระทรวงสาธารณสุข ยังคงพบร้านที่ใช้สารเร่งเนื้อ แดงอยู่จำนวนมาก และใช้นิ้วกดเนื้อหมูลงไป ถ้าเนื้อหมูบุ๋มลงไปโดยไม่กลับคืนมา แสดงว่าเนื้อหมูนั้นเก่าไม่ควรซื้อ ที่สำคัญอย่าเลือกหมูที่ติดมันมากนักเพราะการบริโภคมันหมูมาก ๆ ไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน

              "ในส่วนของการปรุงเนื้อสัตว์ทุกชนิดให้เน้นที่ปรุงให้สุกไว้ก่อน ถ้าจำเป็นต้องมีหมู 3 ชั้นในการประกอบอาหารก็ควรเจียวมันให้ออกไปบ้าง เพราะหากบริโภคมาก ๆ จะส่งผลให้แคลอรี่ในร่างกายเพิ่มก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้" อ.สง่า บอก

              นอกจากนี้ ในระหว่างที่ประกอบพิธีไหว้บรรพบุรุษนั้น บางบ้านก็ปล่อยของไหว้ทิ้งไว้โดยไม่มีอะไรปิดให้มิดชิด หรือวางกับพื้น ทำให้มีแมลงวันตัวพาหะนำเชื้อโรคมาตอม และเราก็นำมารับประทานกันโดยไม่รู้ จึงอยากขอเตือนให้มีการอุ่นหรือปรุงใหม่ก่อนนำมารับประทาน เพราะนั่นเสี่ยงต่อโรคทางเดินอาหาร และโรคอุจจาระร่วงได้เช่นกัน

              อ.สง่า ทิ้งท้ายไว้ว่า อาหารที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษส่วนใหญ่จะเป็นแบบผัด ๆ ทอด ๆ ก่อนรับประทานจงพึงระวังสักนิด เพราะอาจทำให้คุณเข้าสู่ภาวะโรคอ้วนได้ ทางที่ดีควรหันมารับประทานอาหารประเภทต้มน่าจะดีกว่า เช่น ต้มจับฉ่าย เป็นต้น อีกทั้งอาหารที่ใช้ไหว้ส่วนใหญ่ จะเน้นไปในทางรสชาติเค็มเราก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะรสเค็มจะทำให้เลือดข้น ก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพเราได้ทั้งสิ้น...

    ที่มา:   http://health.kapook.com/

    มีสุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้เราต้องทำเอง...

รู้ทันโรคหัวใจ

โรคหัวใจ 
ดูแลตัวเองอย่างไรให้ห่างไกลโรคหัวใจ
เรียบเรียงจากรายการ สุขกายสบายใจ


โรคหัวใจ
                                                                                                                                                                 


ใช้ชีวิตอย่างไรให้ห่างไกลโรคหัวใจ     โรคหัวใจเป็นโรคที่กระทรวงสาธารณะสุขสำรวจพบว่าคนไทยมีความเสี่ยงเป็นอันดับ 1วันนี้เรามาดูวิธีลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจกัน

สาเหตุโรคหัวใจ

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
1. ไม่ออกกำลังกาย
2. น้ำหนักตัวที่มากเกินปกติ
3. ระดับไขมันในเลือดสูง
4. คนที่เป็นโรคเบาหวาน
5. ความดันโลหิตสูง
6. สูบบุหรี่

การป้องกันการเกิดโรคหัวใจ


1. ไม่สูบบุหรี่
2. ควบคุมน้ำหนักตัว
3. รักษาระดับไขมันในเลือดโลหิต
4. รักษาระดับความดันโลหิต
5. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้เป็นเบาหวาน
6. เลือกรับประทานอาหาร
7. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

วิธีดูแลรักษาตัวเองเมื่อเป็นโรคหัวใจ

1. การออกกำลังกาที่ทำให้เกิดประโยชน์กับโรคหัวใจ ก็คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยอย่างน้อยออกกำลังกายให้ได้ 30 นาทีต่อครั้ง เป็นการออกกำลังกายแบบปลายกลางก็ได้

เช่น เดินต่อเนื่องกัน 30 นาที เดินด้วยความเร็วสบายๆ ทำประมาณ 3-4 ครั้ง ต่อสัปดาห์


2. ความคุมอาหาร ที่จะทำให้เกิดปัจจัยเสียง

  • ปริมาณอาหาร ต้องท่านให้พอเหมาะ ไม่มากเกินไป
  • ชนิดของอาหาร คืออาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง อาหารประเภทไขมันที่มาจากสัตว์ทุกชนิดมันหมู มันเนื้อ หนังเปิด หนังไก่ หรือไข่แดง

ถ้าเป็นโรคหัวใจแล้วจะมีวิธีดูแล รักษาตัวเองอย่างไร?


ก็เหมือนกับการดูแลไม่ให้เกิดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
1. สูบบุหรี่
2. การไม่ออกกำลังกาย
3. น้ำหนักตัวที่มากเกินปกติ
4. เบาหวาน
5. รักษาระดับความดันโลหิต
6. รักษาระดับไขมันในเลือดโลหิต

โรคหัวใจ

แผนผังแสดงกรรมที่ส่งผลให้เป็นโรคหัวใจ

โรคหัวใจ

แก้กรรมโรคหัวใจ




ขอขอบคุณ http://health.dmc.tv/

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

แอปเปิ้ลต่างสีประโยชน์ดีต่างกัน

แอปเปิ้ลต่างสี ประโยชน์ดีต่างกัน
       “แอปเปิ้ล” ผลไม้ที่ใครๆ ก็ต้องรู้จัก ผลไม้ขึ้นชื่อเรื่องของรสชาติความอร่อย เปลือกสีสดน่ากิน เนื้อในหวานหอมกรอบ แถมยังเปี่ยมล้นไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น เบตาแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ นอกจากนั้น ยังมีการกล่าวถึงสรรพคุณบำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระและฆ่าเชื้อไวรัสอีกด้วย
     
       เมื่อรับประทานแอปเปิ้ลโดยไม่ปอกเปลือก 1 ผล เราจะได้รับพลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี่ มีวิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม และวิตามินซีมากถึง 7.9 มิลลิกรัม นอกจากนั้นยังมีสารเบต้าแคโรทีน และเส้นใยไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล (การกินแอปเปิ้ลวันละ 2-3 ผลช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ โดยแอปเปิ้ลลดคอเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชาย) ในทางกลับกันถ้าเราปอกเปลือกปริมาณสารอาหารดังกล่าวในแอปเปิ้ลก็จะลดลงไปด้วย
     
       นอกจากนั้น แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่เหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย เนื่องจากแอปเปิ้ล 1 ผล มีส่วนประกอบของแป้งและน้ำตาลกว่า 75% ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทั้งทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิดและอ่อนเพลียระหว่างรอเวลาอาหารมื้อใหญ่ แต่ต้องเป็นแอปเปิ้ลผลสดๆ เท่านั้นที่มีสรรพคุณนี้ และการดื่มน้ำแอปเปิ้ลไม่ทำให้หายหิวแต่จะทำให้น้ำหนักเพิ่มด้วย
     
       สำหรับแอปเปิ้ลที่เราเห็นตามท้องตลาดนั้น มีทั้งชนิดที่เปลือกสีแดง สีชมพู สีเหลือง และสีเขียว ซึ่งสีที่แตกต่างกันนั้นก็บ่งบอกได้ถึงสายพันธุ์ที่แตกต่างกันไป ถึงแม้เปลือกด้านนอกจะมีสีไม่เหมือนกันแต่เนื้อข้างในนั้นเป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวลเหมือนกัน ซึ่งแอปเปิ้ลแต่ละสีก็จะมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน ดังนี้
แอปเปิ้ลต่างสี ประโยชน์ดีต่างกัน
       แอปเปิ้ลสีแดง
        มีจุดเด่นที่ดีต่อสุขภาพคือมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วย
แอปเปิ้ลต่างสี ประโยชน์ดีต่างกัน
       แอปเปิ้ลสีชมพู 
       มีสารฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาแอปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย
แอปเปิ้ลต่างสี ประโยชน์ดีต่างกัน
       แอปเปิ้ลสีเหลือง 
       มีประโยชน์ต่างจากสีอื่นๆ โดยมีสารเควอร์ซิตินที่ช่วยลดความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก
แอปเปิ้ลต่างสี ประโยชน์ดีต่างกัน
       แอปเปิ้ลสีเขียว 
       มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะการกินแอปเปิ้ลสีเขียวนอกจากจะได้รับน้ำตาลน้อยแล้ว ยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดีอีกด้วย
     
        เห็นคุณค่า คุณประโยชน์หลายหลายของแอปเปิ้ลแต่ละสีกันแล้ว หลายคนคงอยากรีบไปกินแอปเปิ้ลโดยพลัน ซึ่งวิธีการกินแอปเปิ้ลให้ได้ประโยชน์นั้น หลายคนมักเข้าใจว่า ควรจะปอกเปลือกแอปเปิ้ลออกก่อนกิน แต่จริงๆ แล้ววิธีนี้เป็นวิธีที่ผิด เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับจากผลไม้ชนิดนี้ลดลง และที่สำคัญอย่าลืมล้างน้ำให้สะอาดก่อนกินทุกครั้งด้วย



ที่มา:
http://www.manager.co.th/

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

นิทานเริงใจ




ขอขอบคุณ www.youtube.com

ขั้นตอนการแต่งหน้ารับปริญญาแบบง่ายๆ

แต่งหน้า


           ว่าที่บัณฑิตทั้งหลายพลาดไม่ได้เด็ดขาด วันนี้เรามีเคล็ดลับขั้นตอนการแต่งหน้ารับปริญญาแบบง่ายๆ มาฝาก... ต่อไปนี้ จงเตรียมตัวเป็นเมกอัพอาร์ติสต์ให้ตัวเองกันได้เลย...

           และนี่คือโฉมหน้าก่อนแต่งของนางแบบและเมกอัพอาร์ติสต์ในคนๆ เดียวกัน...
แต่งหน้า

           ขั้นตอนการทำสวย...

            1. ปรับชั้นตาที่ไม่เท่ากันและไม่กว้างพอ ด้วยการติดเทปสามเอ็ม

แต่งหน้า
แต่งหน้า

            2. เพื่อความทนทานของเครื่องสำอาง ลงครีมกันแดดที่ใบหน้าเลย โดยไม่ต้องลงครีมบำรุงผิว


            3. ลงคอนซีลเลอร์ให้ห่างจากขอบตาล่างระดับหนึ่ง แล้วค่อยๆ ใช้นิ้วนางเกลี่ยขึ้นไป โดยลงให้ทั่วบริเวณที่วาดให้ดูนะคะ (คอนซีลเลอร์นี่อย่าพอกไปหนาๆ นะคะ ต้องลงบางๆ อย่างเบามือทีละนิด ไม่งั้นจับเป็นก้อนแน่ๆ พอลงแป้งไประหว่างวันอาจตกเป็นร่องๆ ทำให้ไม่สวย)

แต่งหน้า

            4. ลงคอนซีลเลอร์ตรงริ้วรอยที่ไม่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นรอยแดง ดำ ช้ำหนอง โดยให้แต้มเพียงนิดเดียว (ตามรูป) จากนั้นใช้นิ้มแตะๆ ให้กลืนกับผิว

แต่งหน้า


           5. เพิ่มความสว่างของใบหน้า ด้วยบีบีครีมจากสกิน 79 (รุ่นนี้เป็นรุ่นไดมอนวาวๆ) แต้มเป็นจุดๆ แล้วเกลี่ยให้ทั่วใบหน้า

แต่งหน้า

            6. รองพื้นด้วยคอเวอมาร์คสีชมพู โดยทาเกลี่ยให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้นิ้วแตะๆ เพื่อเพิ่มความทน พอลงรองพื้นเสร็จรอประมาณ 1 - 2 นาที ให้ครีมเซ็ตตัวค่อยลงแป้งนะคะ

แต่งหน้า

            7. ลงเฉดดิ้งที่ปีกจมูกอย่างเดียว (จริงๆ ส่วนมากคนนิยมเฉดดิ้งล้อมกรอบหน้า)

แต่งหน้า

            8. ลงแป้งฝุ่น แล้วใช้แปรงหัวใหญ่ปัดแป้งส่วนเกินออก

แต่งหน้า

            9. จัดการปัดคิ้วให้เป็นระเบียบ และดึงขนคิ้วที่รกๆ ออกหน่อย

แต่งหน้า

            10. มาต่อกันที่ดวงตา... สีแรกที่ใช้มาจากพาเลตต์แมค รุ่นพระเจ้าเหา (ไม่ต้องสนใจสีค่ะ ถ้าอยากแต่งตามเลือกสีจากยี่ห้อไหนก็ได้ที่โทนใกล้กัน)

แต่งหน้า

            11. สีที่เลือกมาคือ สีขาวสว่างวาว และสีเนื้อๆ น้ำตาลๆ ว่าแล้วทาตามเลขและบริเวณที่วาดไว้ค่ะ

แต่งหน้า

            12. มาต่ออีกสี กับสีน้ำตาลอ่อนแบบแมตต์ ไม่มีความวาวและประกายใดๆ ทั้งสิ้น

แต่งหน้า

            13. ป้ายลงไป (นิ้วหรือแปรงตามถนัด) ที่บริเวณที่วาดไว้ ตาจะมีมิติขึ้นมานิดนึงค่ะ

แต่งหน้า

            14. สีต่อไป คือสีน้ำตาลทองเข้มๆ วิ้งๆ นิดนึง... ทาตามบริเวณที่กำหนด

แต่งหน้า

            15. ต่อด้วยสีดำซีรีย์ไนท์ ตัวนี้ใช้สีดำไม่ประกายก็ได้นะคะ แต่ควรมีประกายซักตัวนึงตาจะได้โดดเด่น แต่วาววิ้งไปก็ไม่ดีค่ะ ถ่ายรูปแล้วจะดูมันๆ เยิ้มๆ... ทาตามบริเวณที่กำหนด

แต่งหน้า

            16. ใช้อายลายเนอร์วาดขอบตาให้เลยขอบตาจริง เพื่อสร้างภาพว่าตายาวและคม ก่อนตวัดหางขึ้นเล็กน้อยให้เนียนกับแนวขนตาตามภาพ

แต่งหน้า

            17. ใช้แปรงหรือแปรงฟองน้ำเล็กๆ วาดตามเส้นขอบตาล่าง เน้นให้ปลายหนากว่า โดยวาดไม่ต้องหมดขอบตาล่างเอาแค่ 3/4 พอค่ะ โดยใช้สีที่4 (น้ำตาลเข้ม)

แต่งหน้า

            18. ใช้แปรงเหมือนเดิมค่ะ จุ่มน้ำนิดนึงก่อน จากนั้นจิ้มสีดำ (สีที่5) แล้วปลิ้นขอบตาล่างออกมาให้เห็นขอบตาล่างส่วนในที่เป็นสีแดงระเรื่อๆ ก่อนจะวาดแปรงที่จิ้มน้ำและสีดำแล้ว ไปตามแนวขอบตาล่างด้านในเลย

แต่งหน้า

            19. ใช้แปรงหัวใหญ่หน่อย จิ้มสีโทนขาว แล้วปัดเพิ่มความสว่างบริเวณโหนกคิ้ว ใต้ตา และสันจมูกค่ะ

แต่งหน้า

            20. ดัดขนตาและเตรียมมาสคาร่าให้พร้อม
แต่งหน้า

            21. ปัดมาสคาร่า รอบแรกให้ปัดเอียงแปรงแนวนอนสำหรับขนตายาว เมื่อปัดเสร็จรอให้แห้งแล้วตั้งแปรงขึ้นก่อนปัดเรียงเส้นอีกครั้ง ส่วนขนตาล่างตั้งแปรงแนวตั้งแล้วปัดทีละเส้น ใครไม่มั่นใจแนะนำวางทิชชู่ลองใต้ขนตาก่อนจะได้ไม่เลอะนะคะ

แต่งหน้า

            22. ปัดแก้ม โดยใช้สีชมพูน้ำตาล วิธีปัดคือ ปัดขึ้นบนเป็นแนวยาว หน้าอืดๆ จะได้ลดลง

แต่งหน้า

            23. ลงลิปคอนดิชั่นเนอร์ก่อน เพื่อปากที่นุ่มชุ่มชื่น จากนั้นเลือกลิปสติกสีแดงที่ไม่สดมาก ตัวนี้จะระเรื่อๆ เหมือนลิปกลอสแต่ไม่วาว ใช้พู่กันทาตามรูปปาก

แต่งหน้า

            24. เทคนิคลิปสติกติดทน... คือ ลอกกระดาษทิชชู่ออกให้เหลือชั้นเดียว เอาไปทาบที่ปาก จากนั้นใช้แปรงแตะแป้งฝุ่น เคาะให้แป้งส่วนเกินออกไปเล็กน้อย แล้วเอามาปัดบนปากที่มีทิชชู่รองไว้

แต่งหน้า

            25. ลงลิปสติกตามอีกรอบ โดยใช้ลิปสติกสีแดงปนชมพูมันวาว

แต่งหน้า

           เท่านี้เป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ...

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากคุณ one way ticket